การเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้รถยนต์เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น
รถเก่า หรือรถมือสอง ที่ผ่านการปรับแต่ง หรือการใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพต่ำ เช่น
สายไฟไม่ได้มาตรฐานจนทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร
ชิ้นส่วนอะไหล่มีขนาดใหญ่เกินไป
และหากผู้ขับขี่ไม่ดูแลเอาใจใส่เครื่องยนต์ ส่งผลให้ระบบหล่อเย็นไม่สามารถระบายความร้อน
ทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดหรือที่เรียกกันว่าโอเวอร์ฮีท (OVERHEATED) และเกิดเพลิงไหม้ได้
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอแนะวิธีป้องกันเครื่องยนต์ร้อนจัด ดังนี้
ก่อนขับขี่ ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำในหม้อน้ำ
หากเป็นรถใหม่ ควรตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ส่วนรถที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี ควรตรวจสอบ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์
หมั่นเติมน้ำสะอาด และถ่ายน้ำในหม้อน้ำทิ้งทุก 4 – 6 เดือน เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกหรือตะกอนตกค้าง
ทำให้หม้อน้ำอุดตัน พร้อมตรวจสอบระบบต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ ดังนี้
*สายพานเครื่องยนต์ไม่หย่อน หรือตึงเกินไป
*พัดลมระบายความร้อนอยู่ในสภาพที่ ใช้งานได้ดี ไม่แตกหักหรือบิดงอ
*หากตรวจพบรอยรั่วตามจุดต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ เช่น ท่อยางหม้อน้ำ ครีบรังผึ้งระบายความร้อน ปั้มน้ำ เป็นต้น
ควรให้ช่างที่มีความชำนาญการดำเนินการซ่อมแซมทันที
ขณะขับขี่ ผู้ขับขี่สามารถสังเกต อาการเครื่องยนต์ร้อนจัดได้จากเข็มวัดอุณหภูมิที่หน้าปัด
โดยปกติเข็มวัดอุณหภูมิจะอยู่ระหว่างตัว C และ H หรือ 85 – 90 องศาเซลเซียส
หากเข็มวัดอุณหภูมิเคลื่อนมาอยู่ใกล้ตัว H แสดงว่าเครื่องยนต์ร้อนจัด
ให้รีบปิดแอร์ เพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์และนำรถจอดเข้าข้างทางในบริเวณ ที่ปลอดภัยในทันที
และรีบเปิดฝากระโปรงรถเพื่อระบายความร้อนออกจากห้องเครื่อง
แต่หากมีไอน้ำพุ่งขึ้นมาจากฝากระโปรงรถ ควรรอจนความร้อนของเครื่องยนต์ลดลง
แล้วจึงค่อยเปิดฝากระโปรงรถ
ไม่เปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะไอน้ำอาจพุ่งขึ้นมาจนทำให้บาดเจ็บได้
และห้ามราดน้ำที่เครื่องยนต์ เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหาย
ในขณะเปิดฝาหม้อน้ำ ควรนำผ้าหนาๆ มาคลุม หรือวางบนฝาหม้อน้ำ
กรณีที่น้ำในหม้อน้ำเหลือน้อยหรือหมด ควรรอจนเครื่องยนต์เย็นลง
แล้วจึงค่อยเติมน้ำเปล่าหรือน้ำยาหล่อเย็นอย่างช้าๆจนเต็ม และปิดฝาหม้อน้ำให้สนิท
จากนั้นให้ลองสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เดินเบา เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องยนต์
หากพบรอยรั่วซึม ควรแจ้งช่างผู้ชำนาญการดำเนินการซ่อมแซมทันที
เพื่อป้องกันเครื่องยนต์ร้อนจัด จนเป็นสาเหตุให้เกิดเพลิงไหม้รถ
ที่มา ผู้จัดการ